วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

การต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้ทั่วไปนั้น เป็นการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุดเนื่องจากว่าเหมาะสำหรับการใช้งานส่วนบุคคล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อนั้นจะมีราคาค่อนข้างต่ำและอุปกรณ์ต่างๆ สามารถหาซื้อได้ง่าย และมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้เลือกหลายราย การเชื่อมต่อแบบที่จะใช้สายโทรศัพท์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และเชื่อมโยงไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งเรียกรูปแบบนี้ว่า Dial – up Connection โดยผ่าน Modem

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อได้แก่
- คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจำนวน 1 ชุด
- โทรศัพท์
- Modem
- ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ( ISP ) โดยทั่วไปให้บริการในลักษณะของการจำหน่ายชั่วโมงอินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับองค์การนั้น มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากซึ่งทำการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้โดยการใช้สาย Lease Line ซึ่งเป็นสายส่งข้อมูลเช่ารายเดือน (วงจรเช่า) เชื่อมต่อตลอดเวลากับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยจะเสียค่าบริการรายเดือน โดยอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับความเร็วในการส่งข้อมูลที่ใช้ นอกจากนั้นจะต้องเสียค่าเช่าสาย Lease Line รายเดือนให้กับองค์การสื่อสารแห่งประเทศไทย การใช้สาย Lease Line สามารถที่จะโอนย้ายข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่าการใช้สายโทรศัพท์ โดยคอมพิวเตอร์แม่ข่ายจะทำการเชื่อมต่อกับ Lease Line โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า เราท์เตอร์ (Router) โดยการเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะสมกับบริษัท หรือหน่วยงานที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก หรือต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อได้แก่
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์การ
- คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
- Lease Line
- Router
- ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ( ISP)โดยทั่วไปให้บริการในลักษณะของการจำหน่ายชั่วโมงอินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

ปัจจุบันได้มีการให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยมากมาย ได้แก่

การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ ISDN
ISDN หรือ Integrated Service Digital Network คือ เป็นระบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายความเร็วสูงที่ส่งถ่ายข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ด้วยการรับส่งสัญญาณในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งจะแตกต่างจากระบบอนาล็อกแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่จะต้องเป็นแบบดิจิตอล ได้แก่ คู่สายและโมเด็มส่วนการเชื่อมต่อที่ชุมสายโทรศัพท์นั้นก็จะต้องต่อสัญญาณเข้ากับระบบสื่อสารดิจิตอลเช่นเดียวกัน

ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบได้แก่
1. ISDN เป็นเครือข่ายโทรคมนาคมความเร็วสูงที่ส่งสัญญาณในระบบดิจิตอล โดยส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ด้วยระบบสัญญาณดิจิตอล ซึ่งเชื่อมต่อจาก ISP ถึงบ้านผู้ใช้โดยตรง เป็นดั่งช่องทางส่งผ่านข้อมูลส่วนตัวที่ผู้ใช้บริการจะได้รับสัญญาณที่ความเร็ว 64 Mbps

2. ISDN องค์การจะต้องขอติดตั้งจากองค์การโทรศัพท์ โดยก่อนติดตั้งนั้นจะต้องตรวจสอบพื้นที่ที่ให้บริการ และขอเบอร์โทรศัพท์จากองค์การโทรศัพท์โดยระบุว่าต้องการใช้บริการ ISDN ซึ่งค่าบริการจะเป็นแบบเหมาจ่ายหลายเลขเดือนละ 100 บาท เหมือนกับการเช่าหมายเลขโทรศัพท์ธรรมดา

3. Terminal Adapter (TA) คือ อุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณให้เป็นระบบดิจิตอลและเป็นโมเด็ม ISDN เพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

4. Network Terminal (NT1) เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย ISDN สามารถติดต่อเช่าอุปกรณ์ NT1 จากองค์การโทรศัพท์ โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมการเช่า NT1 เดือนละ 100 บาท หรืออาจซื้อโมเด็ม ISDN ที่ติดตั้ง NT1 อยู่ภายในเลยก็ได้ แต่ราคาแพงกว่าโมเด็ม ISDN ธรรมดาสองถึงสามพันบาท

5. การติดตั้งการใช้งาน มีขั้นตอนดังนี้
5.1 ตรวจสอบกับองค์การโทรศัพท์ว่า ในเขตพื้นที่ที่เราอยู่มีคู่สาย ISDN ให้เช่าหรือไม่แล้วจึงขอลากสาย ISDN มาติดตั้ง

5.2 ติดตั้งสาย ISDN เข้ากับ NT1 เพื่อรับการติดต่อสื่อสารระบบดิจิตอล กับเครือข่าย ISDN

5.3 เชื่อมต่อสายสัญญาณจาก NT1 เข้ากับ TA เพื่อแยกสัญญาณข้อมูลในส่วนของโมเด็กเข้ากับคอมพิวเตอร์ และส่วนของสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับเครื่องโทรศัพท์

5.4 ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพื่อขอให้บริการอินเทอร์เน็ต ISDN โดยจะมีค่าบริการในอัตราที่แตกต่างกันไป

5.5 ทำการติดตั้ง Dialup Networking สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีวิธีการสร้างและใส่หมายเลขโทรศัพท์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเหมือนกับการใช้ระบบโทรศัพท์ แบบปกติ

6. ค่าบริการที่จะต้องเสียในการใช้บริการมีดังนี้
6.1 ค่าหมุนโมเด็ม หรือโทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท เหมือนกับโทรศัพท์ระบบปกติ

6.2 ค่าชั่วโมงอินเทอร์เน็ต จะมีให้บริการทุกไอเอสพี ราคาจะแตกต่างกันจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและความเร็วที่ผู้ใช้ต้องการ แต่จะมีบริการฟรีของ ทศท. โดยให้เชื่อมต่อไปที่หมายเลข 1288

ข้อดีของระบบ ISDN
1. ค่าเช่าหมายเลขคู่สาย และอุปกรณ์ NT1 เดือนละ 100 บาท ราคาถูกกว่าระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบอื่นๆ

2. มีบริการอินเทอร์เน็ตฟรี จาก ทศท.

3. มีระบบรับส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ดังนั้นจึงรับผลกระทบจากสัญญาณรบกวนน้อยมาก

4. สามารถใช้โทรศัพท์ได้พร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในเวลาเดียวกัน


การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ ADSL
การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ADSL หรือ Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นการเช่าสายส่วนบุคคล หมายถึงการบริการชนิดนี้ใช้ความเร็วในการอัพโหลด และดาวน์โหลดข้อมูลไม่เท่ากัน โดยในส่วนของการอัพโหลดข้อมูลสูงสุด คือ 1.5 Mbps ส่วนการ ดาวน์โหลดสูงสุดที่ 8 Mbps ทำให้บริการประเภทนี้เหมาะกับการดาวน์โหลดมากกว่าการอัพโหลดเว็บไซต์ และเนื่องจากการเช่าสาย ADSL มีคุณสมบัติ Always on คือ พร้อมใช้ตลอดเวลา เมื่อเราเปิดเครื่องนั้น บริษัท Broadband ที่เราใช้บริการอยู่จะทำการเตรียมช่องสัญญาณรออยู่เรียบร้อยแล้ว แค่กรอกรหัสพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก็จะถูกส่งมาถึงเราทันที และจะเริ่มนับระยะเวลาการใช้จากการเริ่มล็อกออน ไม่ใช่เริ่มเปิดเครื่อง จากคุณสมบัติ Always on ทำให้ไม่จำเป็นที่ต้องเสียค่าโทรครั้งละ 3 บาท ทุกครั้งที่ใช้บริการเพราะได้เช่าสายส่วนตัวไว้แล้ว ซึ่งแตกต่างจากโมเด็มที่ต้องทำการหมุนโทรศัพท์เพื่อเข้าไปใช้งาน และเมื่อผู้ใช้โมเด็มจะพบกับปัญหาการเชื่อมต่อติดที่ยาก แต่การใช้ ADSL ปัญหาดังกล่าวจะไม่มี

การทำงานของ ADSL
ADSL เป็นการส่งข้อมูลบนสายโทรศัพท์ โดยที่ไม่ต้องลากสายเพิ่ม ขอเพียงมีโทรศัพท์ที่บ้านก็สามารถใช้บริการ ADSL ได้แล้ว ซึ่ง ADSL จะใช่ช่องสัญญาณความถี่ที่สูงกว่าช่องสัญญาณโทรศัพท์ทำให้สามารถรับโทรศัพท์ หรือโทรออกขณะที่เล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ ซึ่งจะสะดวกมากขึ้นสำหรับบ้านที่มีโทรศัพท์เพียงเบอร์เดียว ค่าบริการ ADSL ที่ความเร็วอัพโหลด 64K และดาวน์โหลด 128K ตกชั่วโมงละ 15-20 บาทเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกมากเมื่อนำมาเทียบกับราคา อินเทอร์เน็ต 56 K ในปัจจุบัน จากความสามารถของ ADSL ที่แยกช่องสัญญาณออกจากช่องสัญญาณเสียงจึงทำให้การติดตั้ง ADSL จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เพิ่มอีกตัวหนึ่ง นอกเหนือจากโมเด็มสำหรับใช้กับระบบ ADSL คือ pots splitter ซึ่งตัวนี้จะทำการแยกสัญญาณที่มาพร้อมๆ กันให้แยกเข้าอุปกรณ์แต่ละประเภทให้ถูกต้อง

การใช้งานและติดตั้ง ADLS
การใช้ระบบ ADSL จะทำการติดตั้งการให้บริการ ADSL ที่บ้าน ก่อนการติดตั้งเพื่อทำการต่อสายโทรศัพท์ที่ชุมสาย จากสายธรรมดาให้เป็นส่วนโทรศัพท์ที่สามารถใช้บริการ ADSL ได้ เมื่อต่อสายเสร็จแล้ว ก็จะทำการติดอุปกรณ์ โดยจะทำการติดตั้ง Splitter เพื่อแยกสัญญาณให้โทรศัพท์และเครื่องพีซี จากนั้นจะทำการติดตั้งโมเด็มแบบ ADSL ซึ่งมีทั้งแบบ Internal และ External ซึ่งสามารถเลือกได้ เมื่อติดตั้งโมเด็มและไดรเวอร์เรียบร้อยแล้ว ก็จะทำการทดสอบและสอนการเชื่อมต่อกับไอเอสพีให้ผู้ใช้

จุดเด่นของระบบ ADSL
1. สามารถใช้งานตลอดเวลา หรือที่เราเรียกว่า “Always on”
2. ประหยัดค่าบริการโทรศัพท์ โดยไม่ต้องเสีย 3 บาท
3. ใช้งานโทรศัพท์ พร้อมอินเทอร์เน็ตในเวลาเดียวกันได้
4. อัตราค่าบริการถูกกว่าการให้บริการวงจรเช่าแบบอื่น
5. สามารถปรับความเร็วเพิ่มได้ตามความต้องการ โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ใหม่เพิ่มเติม
6. มีบริการเสริมให้เลือกใช้ได้ในอนาคต

บริษัทที่ให้บริการระบบ ADSL
1. บริษัท Samart Broadband Services เป็นบริษัทที่ให้เช่าสัญญาณโครงข่ายกับทางองค์การโทรศัพท์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2543 โดยเลือกใช้เทคโนโลยี DSL ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูล Broadband มาใช้งาน

2. บริษัท Lenso Datacom เป็นบริษัทในกลุ่มร่วมลงทุนกับองค์การโทรศัพท์ ซึ่งได้ทำการศึกษาระบบ DSL และทำการให้บริการในปี 2543

3. บริษัท United Broadband ในเครือ UCOM เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2541 โดยในต้นปี พ.ศ. 2542 เป็นช่วงที่ทดลองใช้ ADSL ฟรีและเริ่มให้บริการจริงตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2543 จึงถึงปัจจุบัน โดยเปิดให้บริการความเร็วระหว่าง 64 k ถึง 512 k


การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ Satellite
การบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ Satellite หรือบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเพียงรายเดียวเท่านั้น คือ CS Internet โดยใช้ดาวเทียม THAICOM ในการให้บริการโดยมีพื้นที่ครอบคลุมทุกจุดในประเทศไทยที่มีสายโทรศัพท์เข้าถึง และบริการชนิดนี้ไม่ต้องลากสายเข้าบ้าน เพียงติดจานดาวเทียมให้ถูกทิศ ก็สามารถที่จะใช้อินเทอร์เน็ตได้

การทำงานของ Satellite
การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศไทยนั้น เป็นบริการแบบ One Way คือ ดาวเทียมนั้นจะทำการส่งข้อมูล Downstream ลงมาทางเดียวไม่มีการส่งข้อมูล Upstream ขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่งข้อมูล Upstream ไปให้ ISP ผ่านโมเด็ม 56K ไปตามสายโทรศัพท์ เมื่อส่งข้อมูลส่งไปถึง ISP ข้อมูล Upstream จะถูกส่งเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อขอใช้ข้อมูลตามต้องการ จากนั้นข้อมูลที่ต้องการจะถูกส่งขึ้นไปยังดาวเทียมไทยคม เพื่อยิงข้อมูลนั้นลงมาด้วยความเร็วสูงมายังจานดาวเทียมที่รับคลื่นที่ติดตั้งที่บ้านของผู้ใช้ จากการทำงานนี้จะเห็นได้ว่าข้อมูล Upstream จะวิ่งไปทางสายโทรศัพท์ส่วนข้อมูล Downstream จะลงมาจากฟ้า ซึ่งทำงานลักษณะนี้เราเรียกว่าเป็นการสื่อสารผ่านดาวเทียมแบบ One Way

การใช้งานและการติดตั้ง Satellite
การใช้งานแบบ One Way ซึ่งต้องแยกการติดต่อสื่อสารเป็น 2 ระบบ คือ ผ่านสายโทรศัพท์และผ่าวดาวเทียม ซึ่งการติดต่อผ่านสายโทรศัพท์ เป็นการสร้าง Dial – Up เหมือนการใช้โมเด็ม 56K มีการป้อนเบอร์โทรศัพท์ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน ส่วนการ Dial – Up อีกตัวเป็นของจานดาวเทียม ซึ่งต้องทำการติดตั้งโปรแกรม Virtual Private Network หรือเรียกว่า VPN ซึ่งมีอยู่ในโปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งในการใช้งานจริงนั้น จะต้องทำการหมุน Dial – Up ทางสายโทรศัพท์ แล้วใส่ชื่อกับรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้อินเทอร์เน็ตจากนั้นก็หมุน Dial – Up VPN เพื่อรับข้อมูลจากดาวเทียมได้ โดยการหมุน Dial – Up ทางโทรศัพท์เสีย 3 บาท ต่อการหมุน 1 ครั้งแต่ VPN จะหมุนกี่ครั้งก็ได้ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากไม่ทำการหมุน VPN นั้นในกรณีที่ข้อมูล Downstream จะวิ่งมาทางสายโทรศัพท์แทน ซึ่งการไม่หมุน VPN จะใช้ในกรณีที่ฟ้าฝนตกหนัก การส่งข้อมูลผ่านทางดาวเทียมจะไม่สามารถส่งได้ หากต้องการใช้ในข้อมูลในขณะฝนตกต้องปิด VPN ข้อมูล Downstream จะวิ่งผ่านทางสายโทรศัพท์แทน ข้อดีคือแม้สภาพอากาศจะแย่เพียงใด ยังสามารถติดต่อทางอินเทอร์เน็ตได้ โดยไม่มีอุปสรรค์เรื่องของอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อเสียคือ การติดต่อแบบไม่ใช่ VPN จะได้รับความเร็วไม่สูงมากนัก และยังเสียค่าชั่วโมงเต็ม เหมือนกับที่ใช้ VPN สำหรับการติดตั้งนั้นทางศูนย์จะส่งช่างมาทำการติดตั้ง พร้อมสอนวิธีการใช้งานให้กับผู้ใช้ ทำการเชื่อมต่อ ซึ่งการติดตั้งนั้นจะมีการติดจานดาวเทียมที่หลังคาบ้าน และ PC CARD ในเครื่องพีซีของผู้ใช้เพื่อให้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการใช้บริการ Sattellite
1. จานดาวเทียม
2. ตัว PC CARD ติดตั้งบนเครื่องพีซี
3. โมเด็ม 56K

ลักษณะเด่นของ Sattellite
1. ใช้ได้ทั่วประเทศที่สายสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึง
2. โทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท ทั่วไป
3. ปรับความเร็วเพิ่มได้ตามความต้องการ โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ใหม่เพิ่มเติม
4. มีบริการเสริมให้เลือกใช้ได้ในปัจจุบันและอนาคต


การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ Cable Modem
Cable Modem คือ การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย HFC หรือ Hybrid Fiber Coaxial (เครือข่ายใยแก้วนำแสง) หรือเราเรียกว่า สายเคเบิล ในอดีตเครือข่ายสายเคเบิลนี้ ถูกเช่าใช้โดยบริษัท UBC เพื่อใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ไปให้ผู้รับชมที่เป็นสมาชิก แต่ในปัจจุบันเครือข่ายสายเคเบิ้ลนี้ได้ถูกเช่าใช้มากขึ้น โดยบริษัท ASIANET ในเครือบริษัท TelecomASIA ได้นำเครือข่ายดังกล่าวนั้นมาใช้ในการต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยใช้ชื่อบริการนี้ว่า ASIANET Cable Modem

การทำงานของ Cable Modem
การทำงานของ Cable Modem นั้นจะต้องใช้ช่องสัญญาณที่มีความถี่ที่ไม่ซ้ำกับที่ UBC ใช้ในการส่งข้อมูล โดยปัจจุบันพื้นที่ที่ให้บริการด้าน Cable Modem ได้นั้นจะอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งการให้บริการมี 2 แบบ คือ
1. แบบ One Way เป็นการทำงานด้าน Downstream จะมาจากสายเคเบิ้ล ส่วนด้าน Upstream จะวิ่งไปตามสายโทรศัพท์แทน

2. แบบ Two Way เป็นการทำงานด้าน Downstream และ Upstream จะมาจากสายเคเบิ้ลทั้งหมด
หลักการทำงานที่ต้องมี 2 ระบบ มีต้นกำเนิดจากของสายเคเบิ้ล มาจากบริษัท UBC ซึ่งเป็นรายการทีวีต่างประเทศ การถ่ายทอดสดของการแข่งขันต่างๆ ซึ่งการส่งข้อมูลประเภทนี้จะเป็นแบบ One Way คือ ผู้ใช้บริการจะดูได้อย่างเดียว ไม่สามารถโต้ตอบกลับได้ เมื่อดูข้อแตกต่างของ Two Way กับ One Way จะเห็นว่า ข้อดีของ Two Way ก็คือไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 3 บาทในการติดต่อใน 1 ครั้งแต่ในแบบ One Way นั้น ต้องเสีย 3 บาท เพื่อใช้ในการโทรเข้าไปใช้งาน นอกจากนี้การทำงานแบบ Two Way การทำงานทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับสายเคเบิ้ล ดังนั้นผู้ใช้จะไม่ต้องกังวลว่าสายโทรศัพท์จะใช้งานได้หรือไม่ เพราะ Two Way จะไม่ใช้สายโทรศัพท์เลย อาจกล่าวได้ว่า แบบ Two Way จะทำงานแบบ Always On ส่วนข้อเสียที่เห็นได้ชัดของ Two Way คือ ค่าบริการจะสูงกว่าแบบ One Way ในปัจจุบันนี้เครือข่ายเคเบิ้ลหลายส่วนได้ปรับปรุงเป็นเครือข่ายเคเบิ้ลแบบ Two Way แล้ว จะมีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่ยังไม่สามารถใช้งานแบบ Two Way ได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบพื้นที่การใช้งานได้จากบริษัท ASIANET

การติดตั้งและการใช้งาน Cable Modem
การติดตั้ง Cable Modem เหมือนกับโมเด็มทั่วไป หากผู้ใช้มีสายเคเบิ้ลของ UBC อยู่แล้วสามารถทำได้ง่ายเพียงนำ Cable Modem มาต่อสายเคเบิ้ลและทำการลงไดรเวอร์ก็เรียบร้อย แต่ถ้าหากไม่มีสายเคเบิ้ล จะต้องทำการติดต่อ ASIANET มาทำการติดตั้งสายเคเบิ้ลและสอนวิธีการใช้ให้

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการใช้บริการ Cable Modem
1. โมเด็ม 56 K
2. Cable Modem 1 ตัว
3. สายเคเบิ้ล

ลักษณะเด่นของ Cable Modem
1. ใช้งานร่วมกับ UBC ได้
2. การใช้งานแบบพร้อมใช้งาน Always On ในแบบ Two Way
3. ไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท เฉพาะแบบ Two Way
4. สามารถใช้งานโทรศัพท์ พร้อมอินเทอร์เน็ตในเวลาเดียวกัน เฉพาะแบบ Two Way
5. มีบริการเสริมให้เลือกมากมายในอนาคต

บริษัทที่ให้บริการ Cable Modem ในปัจจุบัน
การบริการ Cable Modem นี้ เกิดขึ้นโดยความร่วมมือจาก บริษัท เอเชีย มัลติมีเดีย จำกัด และบริษัท เอเชีย อินโฟเน็ท จำกัด ซึ่งเป็นสองบริษัทในเครือเทเลคอมเอเชีย ซึ่งบริษัทเอเชีย มัลติมีเดียนั้น จะเปิดให้บริการในด้านโครงข่ายมัลติมีเดียความเร็วสูง ที่ใช้เทคโนโลยีของ Hybrid Fiber – Coaxial (HFC Network) ซึ่งมีขีดความสามารถสูงสุดในการรองรับบริการมัลติมีเดียต่างๆ ขณะนี้โครงข่าย HFC สามารถให้บริการได้แล้วกว่า 2.1 ล้านหลังคาเรือนในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ๆ ในประเทศ โครงข่ายดังกล่าวนี้สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอล ที่ย่านความถี่ 5 ถึง 750 เมกะเฮร์ซ สามารถให้บริการมัลติมีเดียได้หลายๆ แบบ เช่น UBC Cable TV, Cable Modem , Interactive Broadcasting ฯลฯ
การติดตั้งโมเด็ม Modem
1. เปิด Control Panel ขึ้นมา โดยไปที่ Start -> Setting -> Control Panel ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน “My Computer” แล้วเปิด “Control Panel” และดับเบิลคลิกที่ไอคอน Modems เพื่อทำการติดตั้งโมเด็ม

2. หลังจากที่เปิดไอคอน Modems แล้ว จะมีหน้าต่าง Install New Modem ขึ้นมา ให้ทำเครื่องหมายในรายการ “Don’t detect my moem; I will select it from a list.” และกดปุ่ม Next

3. จะมีหน้าต่างให้เลือกชนิดของ Manufacturers และ Models ถ้าไม่มี Models ตามที่ต้องการให้กดปุ่ม Have Disk

4. จะมีหน้าต่าง Install From Disk ให้กดปุ่ม Browse แล้ว เลือกชื่อไฟล์ที่เก็บ Models และกดปุ่ม OK

5. เลือกชนิดของ Models ตามที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Next

6. ให้เลือก ชนิดของ Port ที่ใช้สำหรับต่อเข้ากับ Modem แล้วกดปุ่ม Next

7. กดปุ่ม Finish เป็นการเสร็จสิ้นการติดตั้งโมเด็ม

8. กดปุ๋ม Close

หลังจากติดตั้งโมเด็มเสร็จแล้ว ก็จะต้องติดตั้ง Dial – Up Networking ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน “My Computer” แล้วเปิด “Dial – up Networking” จะเห็นหน้าต่าง Dial – up Networking ดังนี้

2. หลังจากที่เปิด “Dial – up Networking” แล้ว ให้ดับเบิลคลิกที่ไอคอน “Make New Connection” เพื่อสร้าง Connection ใหม่ ขึ้นมา จะมีหน้าต่าง Make New Connection ขึ้นมา แล้วใส่ชื่อลงในช่อง “Type a name for the computer you are dialing:” เช่น ใส่ชื่อว่า Internet เป็นต้น จากนั้นกดปุ่ม Next
3. ใส่ Area Code เป็นรหัสทางไกลใส่หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อมาที่ ISP และเลือกช่อง “Country or region code” เป็น Thailand (66) จากนั้นกดปุ่ม Next

4. กดปุ่ม Finish เป็นการเสร็จสิ้นการ Add Dial – up connection จะเห็นไอคอน Dial – up Networking ที่ชื่อ Internet ปรากฏเพิ่มขึ้นดังรูป

5. สามารถสร้างไอคอนไว้บนหน้าจอ เพื่อจะได้สะดวกในการเรียกใช้ โดยการคลิกขวาที่ไอคอน Dial – up แล้วเลือกเมนู Create Shortcut

6. จะมีข้อความปรากฏขึ้นมาให้กดปุ่ม YES ก็จะปรากฏไอคอนบนหน้าจอจากนั้นก็จะมีไอคอน Dial – up ปรากฏที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

1. เปิด Dial – up Networking จากไอคอน Internet บนหน้าจอ หรือเข้าไปที่ไอคอน My Computer แล้วดับเบิลคลิกที่ไอคอน Internet

2. หลังจากนั้นก็จะมีหน้าต่าง Connect to ปรากฏขึ้นมา เพื่อใส่ Username และ Password แล้วกดปุ่ม Connectจากนั้นจะเห็นหน้าต่างบอกสถานะว่ากำลัง Dialing……ถ้าโทรติดสถานะก็จะเปลี่ยนเป็น Verifying user name and password….แต่ถ้าโทรไม่ติดหรือสายไม่ว่างจะมีข้อความว่า Line busy จากนั้นเครื่อง Server ทำการตรวจสอบว่า User name และ Password ว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องสถานะก็จะเปลี่ยนเป็น Logging on to network….ถ้าหากไม่ถูกต้องจะมีหน้าต่างให้ใส่ Username และ Password อีกครั้งหลังจากนั้นอีกสักพักจะมีหน้าต่าง Connection Established ปรากฏขึ้นมา แสดงว่าตอนนี้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้แล้ว จากนั้นกดปุ่ม Close เพื่อทำการย่อหน้าต่างลงมาอยู่ที่ Task Bar มุมล่างขวา

3. ถ้าต้องการดูสถานการณ์ทำงานหรือต้องการ Disconnect ออกจากระบบให้ดับเบิลคลิกที่ไอคอน Connection ตรง Task Bar มุมขวาล่างขึ้นมา จะปรากฎหน้าต่างสถานะการทำงานดังรูปถ้าหากไม่ต้องการ Disconnect ให้กดปุ่ม OK เพื่อย่อหน้าต่างนี้กลับลงไปที่ Task Bar เหมือนเดิมแต่ถ้าหากต้องการ Disconnect ให้กดปุ่ม Disconnect ได้ทันที

ความหมายโปรแกรมเว็บบราวเซอร์

โปรแกรมเว็บบราวเซอร์(Web Broser)เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการเปิดดูข้อมูลต่างๆบนอินเตอร์เน็ต ถือได้ว่าเป็นเอกสารข้อมูลที่ถูกเขียนด้วยภาษา HTML โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ จึงเป็นตัวที่จะทำหน้าที่ในการแสดงผลของข้อมูลเอกสารดังกล่าวเนื่องจากคุณสมบัติของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ซึ่งสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่เป็นภาพ 2 มิติ และ 3 มิติ แสดงภาพเคลื่อนไหว ข้อมูลเสียงและวีดีโอได้ โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่จะนำมาใช้งานนี้ คือ โปรแกรม Internet Explorer 6 ซึ่งเป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่ติดตั้งมาพร้อมกับการติดตั้งระบบปฎิบัติการ Window xp ซึ่งการใช้งานโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะประกอบไปด้วย

1.ส่วนประกอบโปรแกรมเว็บบราวเซอร์
2.การใช้เมนูโปรแกรมเว็บบราวเซอร์
3.การใช้ Link และ Url
4.การกำหนดขนาดและการแสดงข้อความภาษาไทยและภาษาต่างๆ
5.การพิมพ์ข้อมูลจากเว็บเพจ
6.การจัดหมวดหมู่ในการเข้าถึงข้อมูล
7.การอัพเกรดหน้าเว็บเพจที่โหลดมาเก็บในเคลื่อง
8.การเก็บข้อมูลเว็บเพจและข้อมูลภาพ

ส่วนประกอบของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์

Title Bar หรือแถบชื่อ ทำหน้าที่ในการแสดงชื่อของเว็บเพจที่กำลังใช้งานอยู่
Menu Bar หรือแถบเมนู ทำหน้าที่แสดงเมนูคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งกลุ่มของคำสั่ง เพื่อใช้งานในหน้าที่ที่แตกต่างกันไปโดยประกอบไปด้วยกลุ่มคำสั่ง File Edit View Favorites Tools และ Help โดยคำสั่งเหล่านี้จะมีการแสดงคำสั่งย่อยๆภายในคำสั่งนั้นๆ

Tool Bar หรือ แถบเครื่องมือ ทำหน้าที่แสดงปุ่มคำสั่งต่างๆที่มีการใช้งานบ่อยๆ โดยแสดงปุ่มรูปภาพซึ่งสื่อถึงการใช้งาน ซึ่งปุ่มสัญลักษณ์ส่วนใหญ่จะเป็นการแทนคำสั่งในเมนูคำสั่ง View และ Favorites ใน Menu Bar

Address Bar หรือ แถบที่อยู่ ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ด้วยการป้อนชื่อของเว็บไซต์นั้นๆ ที่ต้องการใช้งาน
พื้นที่ในการแสดงข้อมูล บนเว็บเพจ โดยพื้นที่ดังกล่าวจะแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏในเว็บเพจต่างๆ ซึ่งพื้นที่ในการแสดงข้อมูลบนเว็บเพจนี้ จะประกอบไปด้วยข้อมูลที่เป็นตัวอักษร รูปภาพ และการเชื่อมโยง (Link) ข้อมูล ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของมัลติมีเดีย

Status Bar หรือ แถบสถานะ ทำหน้าที่ ในการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมโยง(Link) ในเว็บเพจ ซึ่งจะแสดงชื่อของเว็บเพจที่ทำการเชื่อมโยง

การใช้งานโปรแกรมเว็บบราวเซอร์

การใช้งานเมนูในเว็บบราวเซอร์
เมนูคำสั่งต่างๆ ในโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ประกอบไปด้วย

เมนูคำสั่ง File ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- New คือ เปิดหน้าต่างของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ใหม่
- Open คือ เปิดเว็บเพจ จาก URL หรือ จากไฟล์ภาษา HTML
- Save คือ บันทึกเว็บเพจ
- Save as คือ บันทึกเว็บเพจโดยตั้งชื่อใหม่
- Page Set Up คือ ตั้งค่าหน้ากระดาษก่อนพิมพ์
- Print คือ พิมพ์เว็บออกทางเครื่อง Printer
- Send คือ ส่งข้อมูลเว็บเพจไปทาง E – mail หรือ การเก็บไว้ใน Desktop
- Import and Export คือ นำเข้าและส่งออกข้อมูล
- Properties คือ เรียกดูคุณสมบัติของแฟ้มข้อมูล
- Work offline คือ สถานการณ์ทำงานของโปรแกรม
- Close คือ การปิดโปรแกรม

เมนูคำสั่ง Edit ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- Cut คือ ตัดข้อความหรือภาพในคลิปบอร์ด
- Copy คือ การคัดลอกข้อความหรือภาพในคลิปบอร์ด
- Paste คือ วางข้อความหรือรูปภาพที่เก็บไว้ในคลิปบอร์ด
- Select All คือ เลือกข้อความทั้งหมด
- Find คือ ค้นหาข้อความ

เมนูคำสั่ง View ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้

- Tool Bar คือ กำหนดคุณสมบัติต่างๆของแถบเครื่องมือ
- Status Bar คือ การซ่อน/แสดง แถบสถานะ
- Explorer Bar คือ ซ่อน/แสดง แถบสถานะ Explorer Bar
- Go To คือ เคลื่อนย้ายไปยังเว็บเพจหน้าอื่นๆ
- Stop คือ หยุดการโหลดข้อมูล
- Refresh คือ โหลดเว็บเพจอีกครั้ง
- Text Size คือ กำหนดขนาดของตัวอักษร
- Encoding คือ กำหนดรหัสภาษา
- Source คือ เรียกดูคำสั่งภาษา HTML
- Full Screen คือ ดูข้อมูลเว็บเพจแบบเต็มจอ

เมนูคำสั่ง Favorites ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- Add to Favorites คือ เพิ่มรายชื่อเว็บเพจที่กำลังเปิดอยู่ลงใน Favorites
- Organize Favorites คือ จัดการกับรายชื่อเว็บเพจใน Favorites
- Links คือ เก็บโฟลเดอร์ต่างๆที่เก็บรายชื่อเว็บเพจ

เมนูคำสั่ง Tools ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- Mail and News คือ ใช้งานโปรแกรม Outlook Express
- Synchronize คือ ปรับปรุงข้อมูลเว็บเพจที่เป็นปัจจุบัน
- Windows Update คือ เรียกเครื่องมือในการปรับปรุง Windows
- MSN Messenger Service คือ เรียกใช้งานโปรแกรม MSN Messenger Service
- Show Related Link คือ ซ่อน/แสดงการเชื่อมโยง
- Internet Options คือ ปรับคุณสมบัติการใช้งานของโปรแกรม

เมนูคำสั่ง Help ประกอบไปด้วยคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- Contents and Index คือ เรียกใช้สารบัญและดัชนีการช่วยเหลือ
- Tip Of the Day คือ ข้อเสนอแนะประจำวัน
- For Netscape User คือ ข้อเสนอแนะสำหรับการใช้โปรแกรม Netscape
- Online Support คือ ติดต่อฝ่ายเทคนิคในการใช้โปรแกรม
- Send Feedback คือ ส่งข้อความแสดงความคิดเห็น
- About Internet Explorer คือ แสดงข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม

การใช้งาน Link และ URL

Link เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากเว็บเพจหนึ่งไปยังอีกเว็บเพจหนึ่ง โดยการ Link นั้นจะเป็นการเชื่อมโยงจากภาพ หรือข้อความ โดยการใช้ตัวชี้เมาส์ที่เป็นรูปลูกศรไปวางยังข้อความหรือภาพที่จะทำการ Link ตัวชี้เมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูปมือ หลังจากนั้นให้ทำการคลิกเมาส์ จะปรากฏเว็บเพจ หรือข้อมูลที่ต้องการเชื่อมโยงไปถึงทันที ซึ่งในการ Link ข้อความส่วนใหญ่ที่เป็น Link นั้น จะปรากฏเป็น น้ำเงิน แต่เมื่อคลิกเมาส์ที่ Link นั้นและกลับมาดูที่เว็บเพจเดิมอีกครั้ง จะพบว่าสีของ Link ได้เปลี่ยนไปจากสีน้ำเงินเป็นสีม่วงซึ่งเป็นเช่นนี้เนื่องจากเป็นการเตือนว่าได้เคยใช้ Link มาก่อนแล้ว ตัวอย่าง ในการ Link มีขั้นตอนดังนี้

1. เมื่อมีการเลื่อนเมาส์ไปอยู่เหนือคำหรือ ภาพ ที่เป็นการ Link เมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูปสัญลักษณ์ของมือ

2. จากนั้นสามารถที่จะทำการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลที่ต้องการ

3. รอสักครู่ จะเป็นการแสดงข้อมูลในเว็บเพจที่ทำการ Link

การใช้งาน URL

การเข้าสู่เว็บเพจที่ต้องการ ในการท่อง World Wide Web อาจต้องมีการเปิดดูเว็บเพจที่ต้องการโดยการใช้ Link แล้วนั้น การค้นหาที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่านั้น คือ การเปิดดูเว็บเพจที่ต้องการโดยตรง ซึ่งเว็บเพจแต่ละหน้านั้น ใน World Wide Web จะมีตำแหน่งเก็บเจาะจงที่เรียกว่า URL หากต้องการเปิดดูเว็บเพจนั้น โดยตรงแล้วจะต้องระบุ URL ของเว็บนั้นๆ ให้โปรแกรม Internet Explorer ทราบ ดังนี้

1. แสดงผลการพิมพ์ URL จะปรากฏเว็บเพจที่ต้องการตามที่เรียกใช้งาน

2. การพิมพ์ URL ด้วยวิธีลัด โดยการพิมพ์ตัวอักษรตัวแรกของเว็บเพจที่ต้องการจะใช้
งานแล้วเลือกที่ตำแหน่งลูกศรท้ายช่อง Addressจะปรากฎเว็บเพจนั้นได้เลยโดยไม่ต้องทำการพิมพ์

การแสดงข้อความภาษาไทย ภาษาต่างๆ และการกำหนดขนาดตัวอักษร

การแสดงข้อความภาษาไทยและภาษาต่างๆ

1. ข้อความในเว็บเพจบางเว็บเพจที่แสดงผลจอภาพนั้น การแสดงผลของตัวอักษรของข้อความไม่สามารถอ่านได้

2. การจัดการกับข้อความที่ไม่สามารถอ่านได้นั้น แก้ไขโดย เลือกคำสั่งในเมนู View เลือก Encoding เลือกปรับเปลี่ยนข้อความโดยเลือกที่คำสั่ง Thai (Windows)

3. โปรแกรมจะทำการเปลี่ยนข้อความให้สามารถอ่านได้ปกติ

การกำหนดขนาดตัวอักษร

เป็นการกำหนดขนาดตัวอักษรในการแสดงผลหน้าจอภาพ โดยเลือกที่คำสั่งในเมนู View เลือก Text Size ซึ่งสามารถเลือกได้ 5 ระดับตัวอักษร คือ Largest Larger Medium Smaller และ Smallest

การเก็บข้อมูลต่างๆจากเว็บเพจ

1. เลือกคำสั่งเมนู File เลือกเมนู Save as

2. แสดงหน้าต่าง Save in ในแหล่งที่ต้องการเก็บข้อมูล

3. โปรแกรมทำการ Save Web Page เก็บไว้ในแหล่งข้อมูล

การเก็บข้อมูลภาพ

1. เลือกภาพที่ต้องการบันทึก จากนั้นคลิกขวาที่เมาส์ จะปรากฏเมนู เลือก Save Picture As

2. ปรากฏเมนู Save Picture เลือกแหล่งที่เก็บข้อมูลภาพ ในช่อง Save in จากนั้นตั้งชื่อให้กับภาพ หรือจะใช้ชื่อภาพเดิมที่มาพร้อมกับภาพก็ได้

การจัดหมวดหมู่เพื่อการเข้าถึงข้อมูล

1. เลือกคำสั่งในเมนู Favorites เพื่อจัดหมวดหมู่และการเก็บเว็บเพจที่เรียกใช้บ่อย

2. เลือกเมนู Add Favorite กรอกชื่อของเว็บเพจ หรือชื่อที่ต้องการตั้ง ในช่อง Name

3. จะปรากฏชื่อที่ตั้งไว้ ซึ่งหากต้องการเรียกใช้หรือเข้าถึงเว็บเพจที่ตั้งไว้ก็ทำการเลือกได้จากเมนู Favorites

การพิมพ์ข้อมูลจากเว็บเพจ

1. เลือกกำหนดค่าของหน้าเว็บเพจให้เหมาะสมกับกระดาษที่จะทำการแสดงผลข้อมูลด้วยการเลือกคำสั่งเมนู File เลือก Page Setup

2. เข้าสู่หน้าต่างของคำสั่งในเมนู Page Setup ทำการกำหนดรูปแบบของหน้าเอกสาร ซึ่งมีการกำหนดค่าต่างๆ ดังนี้
- Paper คือส่วนของการกำหนดขนาดของกระดาษ (Size) และแหล่งของกระดาษ (Source)
- Headers and Footers คือการกำหนรายเอียดที่พิมพ์ตรงหัวกระดาษและท้ายกระดาษ
- Orientation คือการกำหนดแนวการพิมพ์
- Margins (inces) คือการกำหนดระยะกั้นหน้า และกั้นหลังของเอกสาร

3. การดูตัวอย่างเอกสารก่อนพิมพ์ โดยเลือกคำสั่งเมนู File เลือก Print Preview ซึ่งกระทำหลังจากกำหนดรูปแบบหน้าเอกสาร (Page Setup) แล้ว ซึ่งการแสดงตัวอย่างเอกสารก่อนพิมพ์นี้ เป็นการตรวจสอบข้อมูลในหน้าของเว็บเพจก่อนพิมพ์ โดยจะแสดงบนหน้าจอผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ทุกประการ เพื่อให้ทำการตรวจสอบความถูกต้องก่อนสั่งพิมพ์จริงได้

4. การพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์ โดยเลือกคำสั่งเมนู File เลือก Print ซึ่งเมื่อตรวจความถูกต้องของเอกสารก่อนพิมพ์ (Print Preview) แล้ว ซึ่งการพิมพ์มีการกำหนดค่าต่างๆ ดังนี้

4.1 การกำหนดค่าในเมนูย่อย General
- Select Printer ใช้สำหรับกำหนดเพื่อเลือกเครื่องพิมพ์
- Page Range ให้สำหรับกำหนดค่าเริ่มต้นและหน้าสุดท้ายของการพิมพ์
- Number of Copy ใช้สำหรับกำหนดจำนวนชุดของเอกสารที่ต้องการพิมพ์

4.2 การกำหนดค่าในเมนูย่อย Options
- Print Frame ใช้สำหรับกำหนดรูปแบบการพิมพ์เมื่อเว็บเพจเป็น Frame
- Print of linked documents ใช้สำหรับกำหนดให้พิมพ์เว็บเพจทุกหน้าที่เชื่อมโยงกับเว็บหน้านี้
- Print table of links ใช้สำหรับเป็นการพิมพ์ตารางสรุปการเชื่อมโยงผ่าน Links ของเว็บเพจหน้านี้